วันศุกร์ที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2553

(พระสุบินและพระนิมิตขิงสมเด็จพระนเรศวร)

๒๘(๒o๑)                เทวัญแสดงเหตุให้            สังหร เห็นแฮ
                 เห็นกระแสสาคร                              หลั่งล้น
                ไหลลบวนาดอน แดนตก                 ทิศนา
                 พระแต่เพ่งฤๅพ้น                             ที่น้ำนองสาย


๒๙(๒o๒)               พระกายกรย่างเยื้อง           จรลี
                 ลุยมหาวารี                                      เรี่ยวกว้าง
                 พอพานพระกุมภีล์                           หนึ่งใหญ่ ไสร้นา
                 โถมปะทะเจ้าช้าง                            จักเคี้ยวขบองค์


๓o(๒o๓)               พระทรงแสงดาบแก้ว          กับกร
                โจมประจัญฟันฟอน                          เฟื่องน้ำ
                ต่างฤทธิ์ต่างรบรอน                          ราญชีพ กันแฮ
                สระท้านทุกถิ่นท่าถ้ำ                         ท่งท้องชลธี


๓๑(๒o๔)               นฤบดีโถมถีบสู้                    ศึกธาร
                 ฟอนฟาดสุงสุมาร                             มอดม้วย
                 สายสินธุ์ซึ่งนองพนานต์                   หายเหือด แห้งแฮ
                 พระเร่งปรีดาด้วย                               เผด็จเสี้ยนเศิกกษัย

๓๒(๒o๕)               ทันใดดิลกเจ้า                      จอมถวัลย์
                 สร่างผทมถวิลฝัน                              ห่อนรู้
                 พระหาพระโหรพลัน                           พลางบอก ฝันนา
                 เร็วเร่งทายโดยกระทู้                          ที่ถ้อยตูแถลง


๓๓(๒o๖)                พระโหรเห็นแจ้งจบ              ในมูล ฝันแฮ
                 ถวายพยากรณ์ทูล                              แด่ไท้
                สุบินบดินทร์สูร                                    ฝันใฝ่ นั้นฤๅ
                หากเทพสังหรให้                                 ธิราชรู้เป็นกล


๓๔(๒o๗)                นุสนธิ์ซึ่งน่านน้ำ                  นองพนา สณฑ์เฮย
                 หนปัจฉิมทิศา                                     ท่วมไซร้
                 คือทัพอริรา-                                       มัญหมู่ นี้นา
                 สมดั่งลักษณ์ฝันไท้                            ธเรศนั้นอย่าแหนง


๓๕(๒o๘)                เหตุแสดงแห่งราชพ้อง        ภัยชลา
                 ได้แก่อุปราชา                                     เชษฐ์ผู้
                  สงครามซึ่งเสด็จครา                         นี้ใหญ่ หลวงแฮ
                  แท้จักถึงยุทธ์สู้                                   ศึกช้างสองชน


๓๖(๒o๙)                  ซึ่งผจญอริราชด้วย              เดชะ
                เพื่อพระเดโชชนะ                                  ศึกน้ำ
                คือองค์อมิตรพระ                                  จักมอด เมือเฮย
                เพราะพระหัตถ์หากห้ำ                           หั่นด้วยขอคม


๓๗(๒๑o)                  เบื้องบรมขัตติย์ท่องท้อง     แถวธาร
                 พระจักไล่ลุยลาญ                                 เศิกไสร้
                 ริปูบ่รอราญ ฤทธิ์ราช                            เลยพ่อ
                 พระจักชาญชเยศได้                             ดั่งท้าวใฝ่ฝัน


๓๘(๒๑๑)                  ครั้นบดินทร์ดาลได้             สดับพยากรณ์ไท้
                 ธิราชแผ้วพูนเกษม


๓๙(๒๑๒)                  เปรมปรีดิ์ปราโมทย์แท้        เพราะพระโหรหากแก้
                 กล่าวต้องตามฝัน


๔o(๒๑๓)                   พระพลันทรงเครื่องต้น งามประเสริฐเลิศล้น
                แหล่งหล้าควรชม ชื่นนา


๔๑(๒๑๔)                   สมเด็จอนุชาน้องแก้ว ทรงสุภาภรณ์แพร้ว
                 เพริศพร้อมเพราตา ยิ่งแฮ




๔๒(๒๑๕)                  สองขัตติยายุรยาตร ยังเกยราชหอทัพ ขุนคชขับช้างเทียบ ทวยหาญเพียบแผ่นภู ดูมหิมาดาดาษ สระพราศพร้อมโดยขบวน องค์อดิศวรสองกษัตริย์ คอยนฤขัตรพิชัย บัดเดี๋ยวไททฤษฏี พระศรีสารีริกบรมธาตุ ไขโอภาสโศภิต ช่วงชวลิตพ่างผล ส้มเกลี้ยงกลกุก่อง ฟ่องฟ้าฝ่ายทักษิณ ผินแวดวงตรงทัพ นับคำรบสามครา เป็นทักษิณาวรรตเวียน ว่ายฉวัดเฉวียนอัมพร ผ่านไปอุดรโดยด้าว พลางบพิตรโทท้าว ท่านตั้งสดุดี อยู่นา
ฯลฯ



ถอดความ

ขณะนั้นสมเด็จพระนเรศวรก็มีรับสั่งให้โหรหาฤกษ์ที่จะยกทัพหลวงไป หลวงญาณโยคและหลวงโลกทีปคำนวณพระฤกษ์ว่า พระนเรศวรได้จตุรงคโชคอาจปราบข้าศึกให้แพ้สงครามไป

ขอเชิญเสด็จยกทัพออกจากพระนคร ณ วันอาทิตย์ ขึ้น 11 ค่ำ เดือนยี่ เวลา 8.30 น.
เมื่อได้มงคลฤกษ์ ทรงเคลื่อนพยุหยาตราเข้าโขลนทวาร พระสงฆ์ประพรมน้ำพระพุทธมนต์แก่กองทัพเสด็จทางชลมารคไปประทับแรมที่ตำบลปากโมก เมื่อประทับที่ปากโมก สมเด็จพระนเรศวรทรงปรึกษาการศึกอยู่กับขุนนางผู้ใหญ่จนยามที่สามจึงเสด็จเข้าที่บรรทม ครั้นเวลา 4 นาฬิกา พระองค์ทรงพระสุบินเป็นศุภนิมิติ

เรื่องราวราวในพระสุบินของสมเด็จพระนเรศวรมีว่า พระองค์ได้ทอดพระเนตรน้ำไหลบ่าท่วมป่าสูง ทางทิศตะวันตก เป็นแนวยาวสุดพระเนตร และพระองค์ทรงลุยกระแสน้ำอันเชี่ยวและกว้างใหญ่นั้น จระเข้ใหญ่ตัวหนึ่งโถมปะทะและจะกัดพระองค์ จึงเกิดต่อสู้กันขึ้น พระองค์ใช้พระแสงดาบฟันถูกจระเข้ตาย ทันใดนั้นสายน้ำก็เหือดแห้งไป พอตื่นบรรทมสมเด็จพระนเรศวรรับสั่งให้โหรทำนายพระสุบินนิมิตทันที พระโหราธิบดีถวายพยากรณ์ว่า พระสุบินครั้งนี้เกิดขึ้นเพราะเทวดาสังหรให้ทราบเป็นนัย น้ำซึ่งไหลบ่าท่วมป่าทางทิศตะวันตกหมายถึงกองทัพของมอญ จระเข้คือพระมหาอุปราชา การสงครามครั้งนี้จะเป็นการใหญ่ ขนาดถึงได้กระทำยุตธหัตถีกัน การที่พระองค์เอาชนะจระเข้ได้แสดงว่าศัตรูของพระองค์จะต้องสิ้นชีวิตลงด้วยพระแสงของ้าว และที่พระองค์ทรงกระแสน้ำนั้น หมายความว่า พระองค์จะรุกไล่บุกฝ่าไปในหมู่ข้าศึกจนข้าศึกแตกพ่ายไปไม่อาจจะทานพระบรมเดชานุภาพได้
พอใกล้ฤกษ์ยกทัพ สมเด็จพระนเรศวรและพระเอกาทศรถเสด็จไปยังเกยทรงช้างพระที่นั่ง คอยพิชัยฤกษ์อยู่ทันใดนั้นพระองค์ทอดพระเนตรพระบรมสารีริกธาตุส่องแสงเรืองงาม ขนาดเท่าผลส้มเกลี้ยง ลอยมาในท้องฟ้าทางทิศใต้หมุนเวียนรอบกองทัพเป็นทักษิณาวรรค 3 รอบ แล้วลอยวนไปทางทิศเหนือ สมเด็จพระพี่น้องทั้งสองพระองค์ทรงปิติยินดีตื้นตันพระทัย ทรงสรรเสริญและนมัสการ อธิษฐานให้พระบรมสารีริกธาตุนั้นบันดาลให้พระองค์ชนะข้าศึก
แล้วสมเด็จพระนเรศวรเสด็จประทับช้างทรง คือ เจ้าพระยาไชยานุภาพ สมเด็จพระเอกาทศรถ เสด็จประทับช้างทรง คือ เจ้าพระยาปราบไตรจักร เคลื่อนขบวนทัพพยุหยาตราต่อไป

8 ความคิดเห็น: